นิตยสาร Thai FinTech ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่มไฟแรงผู้โลดแล่นอยู่บนถนนสายการลงทุน และผันตัวเองมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพด้วยความฝันในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการให้ความรู้ด้านการออมการลงทุนแก่คนไทย เพื่อให้หลุดพ้นจากความยากลำบากในบั้นปลายชีวิต
คุณเจษฎา สุขทิศ ไม่เพียงแต่เป็นชื่อที่รู้จักกันดีของคนในแวดวงการลงทุนและการวางแผนการเงินเมืองไทยในฐานะประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัท INFINITI Global Investors ธุรกิจด้านการจัดการลงทุนและหาโอกาสให้กับนักลงทุน แต่สำหรับคนในวงการฟินเทคสตาร์ทอัพแล้ว คุณเจษฎาก็เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในหัวหอกนักบุกเบิกธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพผู้ร่วมก่อตั้ง FINNOMENA เว็บไซต์รวมความรู้การเงินการลงทุนสำหรับคนไทยทุกเพศทุกวัย รวมถึงสวมบทบาทนายกสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทยอีกหนึ่งตำแหน่ง
คุณเจษฎาเรียนจบระดับชั้นมัธยมจากโรงเรียน “เซนต์คาเบรียล” ก่อนเข้าศึกษาต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจและการจัดการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีคุณพ่อที่ทำงานด้านวาณิชธนกิจเป็นผู้หล่อหลอมความรู้ด้านการบริหารจัดการเงินให้ตั้งแต่เด็กๆ จนกลายเป็นเส้นทางชีวิตที่เลือกเดิน และเป็นงานที่รักในเวลาต่อมา
“เรื่องของเรื่องก็คือตอนสมัยเรียนมัธยมคุณพ่อจ้างให้ไปทำงานที่บริษัท ทำให้ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของนักลงทุน เห็นกราฟหุ้น ฟังเสียงของโบรกเกอร์ที่พูดเรื่องการขึ้นลงของกราฟ บางครั้งก็ชอบหยิบหนังสือหุ้นที่คุณพ่อวางไว้มาอ่านเล่นก็รู้สึกว่าสนุกดี ทำให้ผมสนใจเรื่องการเงินการลงทุนมาตั้งแต่นั้น ตอนนั้นผมอายุแค่ 17-18 ปี ก็รู้แล้วว่าตัวเองอยากเป็นผู้จัดการกองทุนเหมือนคุณพ่อ”
หลังจากเรียนจบคุณเจษฎาก็วิ่งตามความฝันที่ค้นพบตั้งแต่วันเด็กโดยการเข้าไปทำงานกับบริษัทการเงินที่มีชื่อเสียง และผ่านประสบการณ์ในวงการเงินมากว่า 15 ปี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในกลุ่มยูโอบี บลจ.อยุธยาเจเอฟ ในกลุ่มของเจพีมอร์แกนในสมัยนั้น และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด ก่อนที่จะออกมาสร้างกิจการของตนเองบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน INFINITI Global Investors
แม้ว่าตำแหน่งสุดท้ายก่อนออกมาสร้างกิจการของตนเองคุณเจษฎาจะเป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในสายอาชีพนี้ที่หลายคนใฝ่ฝัน การตัดสินใจลาออกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับคุณเจษฎาตำแหน่งดังกล่าวกลับไม่สามารถฉุดรั้งการวิ่งตามความฝันใหม่ของเขาได้
“ผมเคยทำงานมาหมดทุกตำแหน่งตั้งแต่พนักงาน นักวิเคราะห์ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน ผู้จัดการกองทุน ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ไปจนถึงประธานเจ้าหน้าที่ลงทุนตอนอายุได้ 30 ปี ก็ถือว่ามาถึงจุดสูงสุดในสายอาชีพแล้ว จึงเริ่มมองหาความท้าทายใหม่ แม้ตอนที่ตัดสินใจลาออกจะทำใจยากเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นผมก็วิ่งตามฝันต่อไม่ได้”
หลังทิ้งตำแหน่งหัวเรือใหญ่จากซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เพื่อมาปลุกปั้น INFINITI Global Investors บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ซึ่งดูแลเงินลงทุนให้ลูกค้าหลายพันล้านบาทแล้ว คุณเจษฎายังจับมือกับเพื่อนๆ ที่มีความรู้ในด้านการลงทุนอีกหลายคนร่วมปลุกปั้นธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพ FINNOMENA เว็บไซต์ให้ความรู้การเงินการลงทุนสำหรับคนไทย โดยมีความฝันร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการให้ความรู้ด้านการออมการลงทุนแก่คนไทยเพื่อให้หลุดพ้นจากความยากลำบากในบั้นปลายชีวิต
คุณเจษฎากล่าวว่าแนวคิดสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยวัยเพียง 30 กว่าปีนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรู้ตัวตนและความต้องการของตัวเองได้เร็ว ได้เจอสิ่งที่ใช่ สิ่งที่รักเร็ว จึงทำให้ชีวิตมีจุดโฟกัสที่ชัดเจน ได้ทุ่มเทกับงานที่รักอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องการงทุนนั่นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาก็ว่าได้
“ผมอยากทำงานนี้มาก มากชนิดที่ว่าเราตื่นขึ้นมาแล้วไม่เคยเบื่อ หลายคนมีคำพูดว่า “ขอบคุณพระเจ้าวันศุกร์แล้ว” แต่ผมไม่เคยเป็น การลงทุนไม่ใช่งานสำหรับผม เชื่อไหมทุกวันนี้ผมมีลูกแล้ว 3 คน แต่กลางคืนผมยังนั่งดูแต่บลูมเบิร์ก จอตลาดหุ้นรายตัว เข้าห้องน้ำก็ดู วันหยุดก็ดู อุ้มลูกมือซ้าย มือขวาจับมือถือดูความเคลื่อนไหว เราอินไปกับมันมาก”
ด้วยประสบการณ์ด้านการลงทุนมาอย่างยาวนาน คุณเจษฎาพบความจริงข้อหนึ่งว่าประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ขาดหรือไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตในวัยชรา เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องการบริหารจัดการเงินส่วนตัว ไม่รู้วิธีออม หรือการลงทุนให้เงินงอกเงย ทำให้ท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นคนแก่ที่เป็นภาระของครอบครัวและสังคมในระยะยาว
คุณเจษฎาบอกว่าคนไทยรู้จักการลงทุนน้อยมาก ตัวเลขบัญชีเงินฝาก 87 ล้านบัญชีทั่วประเทศ มีเพียง 5-6 ล้านบัญชีหรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ถึง 10% เท่านั้นที่รู้จักการลงทุน ส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องไกลตัว และยากในการจัดการ ทั้งที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุถ้าไม่รู้จักการลงทุนเรากำลังจะไม่มีกิน
“ถ้าลงทุนเป็นคนไทยเกินครึ่งประเทศจะมีเงินพอใช้หลังเกษียณ ตัวอย่างเช่น เงินจำนวน 1 หมื่นบาท บนผลตอบแทน 8%ระยะเวลา 30 ปี มูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนบาท จากพลังของผลตอบแทนทบต้น ต่างจากฝากประจำกับธนาคารพาณิชย์ เงิน 1 หมื่นบาท ผ่านไป 30 ปี คุณอาจได้ไม่ถึง 2 หมื่น”
ประโยชน์จากการลงทุนนอกจากจะทำให้ชีวิตหลังเกษียณมีความสุขในระดับที่เหมาะสมแล้ว เป้าหมายอื่นในชีวิตอย่างการศึกษาของลูก การมีที่อยู่อาศัย และการส่งต่อความมั่งคั่ง ยังมีอนาคตที่สดใสและเป็นไปได้ง่ายขึ้น
ด้วยเหตุผลดังกล่าวคุณเจษฎาและเพื่อนๆ จึงตัดสินใจร่วมกันก่อตั้ง FINNOMENA.com ขึ้นเพื่อให้ความรู้ด้านการเงิน และการลงทุนที่แตกต่าง มีสไตล์การเขียนที่เข้มข้นแต่เข้าใจง่าย นอกจากนี้คุณเจษฎายังติดสินใจรับตำแหน่งนายกสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทยอีกด้วย
คุณเจษฎา หนึ่งในผู้ก่อตั้ง FINNOMENA บอกถึงเป้าหมายว่า บริษัทจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติด้านการออมและการลงทุนจนทำให้คนไทยสัก 1 ล้านคนเข้าใจ และลงมือทำจริง จนมีเงินพอใช้หลังเกษียณ และสามารถหาเงินส่งลูกเรียนจนจบระดับปริญญาโทได้อย่างที่ฝัน
“นี่เป็นความฝันใหม่ของผมสำหรับเป้าหมายของชีวิตการทำงาน เป็นเหตุผลที่ผมตื่นมาทำงานทุกวันตอนเช้าอย่างมีความสุข” คุณเจษฎา กล่าว
คุณเจษฎาได้ฝากถึงคนที่ทำธุรกิจเทคสตาร์ทอัพว่า “ให้เริ่มต้นที่ตัวเองก่อน เริ่มในสิ่งที่ตัวเองมีความหลงใหล โฟกัสให้ดีว่าเราชอบอะไร ถ้าชอบเราจะถนัด แต่อย่าไปคิดว่าเราสามารถทำอะไรก็ได้ หลายๆ คนเริ่มต้นด้วยความสนุกและจบลงด้วยความทุกข์ การเริ่มต้นอาจจะต้องมองสิ่งที่ต้องการเดินไปให้ลึกมากขึ้น และเชื่อในการทำงานหนัก ไม่ใช่ทำงานชิวๆ ต้องใส่หมดทุกอย่างที่เรามีจริงๆ”
คุณเจษฎาบอกกว่าความสำเร็จที่เห็นในทุกวันนี้เกิดจากการทำงานอย่างเต็มที่อย่างสุดความสามารถ และเชื่อว่าไม่ใช่แค่ทำงานอย่างฉลาดอย่างเดียว แต่ต้องทำงานหนักด้วย นอกจากนี้ในการลงทุนหรือทำธุรกิจสตาร์ทอัพก็ตามหากผิดพลาด ก็ต้องรู้จักพลาดให้เร็ว พลาดบ่อยก็ยังได้ แต่ล้มแล้วต้องลุกให้เร็ว
You must be logged in to post a comment.