แม้รัฐบาลในประเทศต่างๆ ต่างพยายามผลักดันการร่างกฎคุมเข้มเงินคริปโต หรือเงินดิจิทัล อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพื่อหวังปกป้องนักลงทุนและผู้ที่จะเข้าไปลงทุนในอนาคต รวมถึงควบคุมความเสี่ยงทางการเงินต่างๆ แต่กรณีล่าสุดของ Upbit เว็บเทรดเงินคริปโตที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ซึ่งอัยการเกาหลีใต้ได้บุกเข้าตรวจค้นสำนักงานของ UpBit หลังถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีการฉ้อโกงประชาชน ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนพอสมควร
คุณศักดา เกตุแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บาทฟินเทค จำกัด และเว็บ Cash2Coins.com อันเป็นเว็บเทรดของคนไทยที่มี Volume การเทรดต่อวันมากเป็นอันดับ 2 ของตลาด กล่าวว่า “ หากไม่มีหน่วยงานใดๆมาควบคุมตรวจสอบ ปัญหาก็จะต้องเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมากแบบนี้ “
เมื่อถามว่า โอกาสที่จะโกงนั้น ทำได้ยากง่ายขนาดไหน คุณศักดาให้ความเห็นว่า “ ธุรกิจ exchange ต่างกับโบรคเกอร์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์หลักทรัพย์ เป็นตัวแทนนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ คนถือสินทรัพย์ทั้งหมดคือบริษัทตลาดหลักทรัพย์ไทย ขณะที่ Cryptocurrency exchange เจ้าของเว็บถือทั้งเงิน และเหรียญของลูกค้า หากผู้บริหารเว็บไซต์ไม่มีธรรมาภิบาล ก็มีโอกาสที่จะเกิดการทุจริตหรือปิดเว็บไซต์หนีได้ แต่ก็ยังดีที่ตอนนี้ภาครัฐมีการออก พรก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มาแล้ว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง “
ด้านคุณสกลกรย์ สระกวี CEO บริษัท Bitkub Online จำกัด เจ้าของเว็บไซต์เทรดของคนไทยอย่าง Bitkub.com กล่าวว่า “ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริยธรรมของแต่ละ Exchange ซึ่งบางที่พอมีเหรียญโอนเข้ามาจำนวนมากกว่า เหรียญที่ circulation ในระบบ ก็โอนเหรียญออกมาไว้ที่ Cold wallet หรือบางเจ้าเอาไปทำอย่างอื่น เพื่อสร้างผลกำไร ซึ่งมันไม่ถูกต้อง หรือบางเจ้าอาจจะไม่มีเหรียญอยู่ในระบบเลย แต่เสกขึ้นมาทำเหมือนกับว่ามีเหรียญ ให้คนโอนเงินมาซื้อเหรียญที่ตัวเองเสก แต่สุดท้ายก็ไม่มี “
ส่วนการออก พรก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล คิดว่าน่าจะส่งผลดีต่อในการป้องกันการทุจริต และช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนใน ICO และ Exchange ในไทยได้ อันจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในไทยทุกคน “คุณสกลกรย์กล่าวทิ้งท้าย
โดย :จักรกฤษณ์ นพคุณ บรรณาธิการบริหาร Thai FinTech
You must be logged in to post a comment.